Friday, February 27, 2015

ล้างเครื่องสำอางด้วยน้ำมันมะพร้าว


ทุกวันนี้ชีวิตเราใช้สารเคมีในชีวิตประจำวันมากมายเหลือเกิน
ยากเหลือเกินที่จะหลีกเลี่ยง เพราะผลิตภัณฑที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นสารสังเคราะห์ทั้งนั้น

ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางก็เป็นอีก ยางที่สาวๆที่ต้องแต่งหน้าใช้เป็นประจำ
จะไม่ใช้ก็ไม่ได้ เพราะล้างน้ำปล่าพวกเครื่องสำอางที่กันน้ำมันจะติดทนทาน  น้ำเปล่าล้างไม่พอ

วันนี้ขอเสนอ น้ำมันมะพร้าว  มาจากธรรมชาติล้วนๆ ล้างเครื่องสำอางที่ติดทนได้เป็นอย่างดี
เราเลือกใช้มันมะพร้าวสกัดเย็น เพราะจะไม่ได้ผ่านความร้อน ไม่ได้ผสมสารเคมีต่างๆ มาจากมะพร้าวล้วนๆ

วิธีใช้ก็ง่าย แค่เทลงบนฝ่ามือแล้วก็นวดบนใบหน้า แล้วใช้กระทิชชู่นิ่มๆเช็ดออก หรือจะชุบสำลีแล้วเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตา กลิ่นก็หอมมะพร้าวอ่อนๆ ไม่ฉุน แถมน้ำมันมะพร้ายังมีไวตามินอี ในปริมาณสูงช่วยบำรุงผิวและทำความสะอาดในเวลาเดียวกัน
ขึ้นอยูกับอุณหภูมิของแต่ละประเทศด้วยนะ เราอยู่กรุงเทพ บ้านเราร้อนอยู่แล้ว น้ำมันมะพร้าวเราเลยเป็นของเหลว ในบางประเทศที่อากาศเย็นๆ น้ำมันมะพร้าวจะจับตัวเป็นไข อาจจะต้องตักออกมาถูๆกับมือให้อุ่นก่อนใช้

ในภาพเราทาทั้งอายแชร์โดว์ ลิปสติค และอายไลนเนอร์



เราใช้นำมันมะพร้าวชุบสำลีแล้วเช็ดออก




เราปาดสำลีผ่านเครื่องสำอางแครั้งเดียว
ส่วนใหญ่ก็ออกหมด  ที่ยากสักหน่อยก็เป็นอายไลน์เนอร์ ตัวนี้ติดทนจัง





จากนั้นเราเช็ดๆถูๆ สักพักก็ออกหมด
หลุดออกได้ง่ายมากก
เยี่ยม






Thursday, February 26, 2015

อายแชร์โดว์ครีมที่แห้งแข็ง ใช้น้ำยาล้างคอนเทคเลนส์ช่วยได้

อย่า!! อย่าทิ้ง!!!
 ถ้าเพื่อนมีอายแชร์โดว์แบบครีมที่แห้งแข็ง ใช้ไม่ได้แล้ว อย่าเพิ่งทิ้ง
วันนี้เรามีวิธีช่วยชีวิต  วิธีใช้ได้ทั้งอายแชร์โดว์แบบครีมและทั้งเจลไลน์เนอร์ที่เป็นแบบกระปุก
ผลิตภัณฑ์พวกนี้ถึงแม้ว่าเราปิดฝาสนิดทุกครั้ง ก็ยังจะแห้งอยู่นั้นแหล่ะ ไม่รูเพราะอะไรสิน่าาาา

ให้เพื่อนๆใช้น้ำยาล้างคอนเทคเลนส์ญี่ห้ออะไรก็ได้ หรือจะใช้น้ำตาเทียมก็แล้วแต่เพื่อน
หยดลงสักสองสามหยด อย่าเยอะ  แล้วก็ใช้ไม้ หรืออะไรที่สามรถคนผสมกันได้ แต่ต้องสะอาดนะ
ก็ผสมกันไปเรื่อยๆ จนเข้า แค่นี้แหล่ะเพื่อนๆก็จะได้ผลิตภณฑ์ที่นุ่มนิ่มกลับมาใช้ได้เหมือนเดิมเลย

วิธีนี้เราว่ามันดีกว่าใช้ความร้อนนะ เพราะความร้อนอาจไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเนื้อผลิตภัณฑ์ได้ อาจทำให้ไม่เหมือนเดิม

ภาพข้างล่างเป็นอายแชร์โดว์ที่เราผสมกับน้ำยาล้างคอนเทคเลนส์เสร็จแล้ว
ขอโทษที่ไมได้ถ่ายภาพตอนที่มันแห้งเอาไว้ดู อันนี้เป็ภาพที่ทำเสร็จแล้ว
มันได้ผลอ่ะ



Wednesday, February 25, 2015

รีวิว ลิปสติคมิสทีน mistine joops color rich สี pink blossom กับ orange pastel

หลังๆ มานี่กระแสของลิปทาร์มาแรงมาก ฮิตกันมากมายในหมู่สาวๆ ไม่ว่าจะต่างประเทศหรือในประเทศ
กระแสขนาดนี้มิสทีนก็ไม่น้อยหน้า
ล่าสุดมิสทีนออก ลิปสติคที่คุณภาพแทนลิปทาร์กันไดไม่น้อยหน้าเลย
นั่นก็คือ mistine joops color rich
 มาในหลอดขนาด 5g.
สีทั้งหมดที่มิสทินคือ 8 สี บวกกับอีกหนึ่งสีที่มีขายบนแอร์เอเชีย รวมเป็นทั้งหมด 9 สีด้วยกัน
ความตั้งใจของมิสทีนต้องการให้ใช้สีทั้งหมดมาผสมกันได้และเกิดสีใหม่ตามใจคนใช้แต่ละคน
ราคาต่อหลอดจะอยู่ที่ 89 - 109  บาทแล้วแต่รอบและโปรโมชั่นของแต่ที่

เมื่อวานไปเจอที่เซเว่นอิเลฟเว่น
เขาขายอยูที่ 99 บาทค่ะ ได้มาสองสีเลย  แม่เจ้า!!! ราคาถูกมากกกก
ราคาโดนใจเลยต้องรีบกลับมาเขียนบอกกัน
หน้าตากล่องเป็นแบบนี้เลย
สองสีที่อยู่ในกล่องก็คือ
1) Pink Blossom
2) Orange Pastel

เสียงล่ำลือหนาหูเหลือเกินว่ามันติดทน ไม่ต้องเติมระหว่างวัน เม็ดสีข้มข้น ไงก็กลบสีปากเดิมมิด
ลองเลยละกัน

ภาพนี้ไม่ใช้แฟลช


 ภาพนี้ใช้แฟลช

สองแถบแรกเป็นสีจากหลอด แถบที่สามเป็นทั้งสองสีผสมกัน
สีจัดชัดจริงไรจริง
กลิ่นที่มาด้วยเป็นกลิ่นหมากฝรั่งนะ แรงไปนิดนึงสำหรับเรา
ให้ความรู้สึกที่ปากชุ่มชื้นดีนะ เกาะอยู่ที่ปากได้ดี คล้ายๆจะเป็บแบบลิปสเตนอยู่หน่อยเพราะสีมันซึมติดไปกับผิวด้วยส่วนนึง

เราใช้นิ้วทา ไม่ได้ใช้พู่กัน ดูสิ ขนาดิเช็ดออกยังมีติดอยู่ที่นิ้วเลย เช็ดกระดาษทิชชูไงก็ไม่หมด


ความเห็นของเรา  สองสีนี้ถ้าต้องทาเดี่ยวๆ สีค่อนข้างแรงไปหน่อยกับชีวิตการทำงานกลางวัน พบปะชาวบ้านเขาอาจจะจ้องแต่ปากเรา ถ้าลดความแรงลงนิดนึงโดยการทาแบบแต้มบางๆ ก็สวยเหมือนกันนะ
 พอเราผสมสองสีนี้เข้าด้วยกันเราว่ามันใช้ได้นะ ได้สีใหม่อีกสีนึงที่พอไปวัดได้โดยที่หมาวัดไม่เห่า  สนนราคาสองหลอด 99 บาท ถูกขนาดนี้ หาซื้อง่ายด้วย
เพื่อนๆที่ไม่ชอบเติมปากระหว่างวันบ่อย ๆ แนะนำตัวนี้เลย สาวไทย ใช้ของไทย น่ารักที่สุดอ่ะ



Tuesday, February 24, 2015

รีวิว อายไลเนอร์แบบน้ำ ไม่แพนด้า ล้างง่าย ลอกเป็นฟิล์ม in2it eyeliner matte & shiny

In2it เป็นแบรนด์ที่ขายอยู่ตามเทสโก้ บิกซี วัตสันทั่วๆไป หาซื้อง่าย ราคาก็เป็นมิตรดีด้วย
In2ig เองก็มีอายไลเนอร์อกกมมหลายรุ่นๆ หลายแบบ ให้เลือกมากมาย
วันนี้เราเลือกมาสามตัวลองให้เพื่อนดูกัน
ที่ราเลือกมาวันนี้เป็นแบบบน้ำชนิดที่อยู่ในขวด

สามแบบเรียงจากซ้ายไปขวาก็คือ
1) IN2IT : Liquid Eyeliner Waterproof Matte
2) IN2IT : Line Define Matte
3) IN2IT : Line Define Shiny




ทั้งหมดนี้อินทูอิทบอกมาว่าเป็นแบบกันน้ำ  พู่กันทำจากไนลอน
ความที่แปรงเป็นแบบพู่กันนี่ดีนะ เวลาที่เราใช้เขียนบนเปลือกตา พู่กันสามารถแผ่ออกได้ ถ้ากดเบาๆก็จะได้เส้นเล็กๆบางๆ ถ้ากดน้ำหนักเพิ่มขึ้นหน่อยก็จะได้เส้นหนาๆ กำหนดได้ตามที่เราต้องการเลย

ภาพข้างล่างเราป้ายอายไลนเนอร์บนแขน แค่ป้ายครั้งเดียวนะ ไม่ได้ป้ายซ้ำ
ก็แห้งเร็วนะ นี่ทิ้งไว้ประมาณสัก 10-20 วิ ประมาณนี้แหล่ะ
เห็นได้จากภาพว่าอันที่สามสีค่อนข้างเข้มกว่าเพื่อน


ทดสอบเรื่องการกันน้ำ
เราลองใช้น้ำ โดยใช้นำจากฝักบัวราดบนแขนเรา
ไม่หลุดลอกแหะ



จากนั้นก็ใช้มือถูเบาๆ
สองตัวแรกหลุด ส่วนตัวหลังไม่หลุด


แล้วก็ตามด้วยสบู่ถูแค่เบาๆ 
สองตัวแรกหลุดออกหมดเลย  ตัวที่สามยังอยู่ดี


ตัวที่สามถ้าถูแรงก็หลุดนะ
เวลาหลุด ก็ลอกออกมาเป็นแผ่นฟิล์ม ไม่ได้เลอะ เป็นแพนด้า
ถ้าจะให้ทนน้ำทนเหงื่อก็แนะนำตัวที่สาม IN2IT Line Define Shiny  เสื้อสีจะมีความเข้มดำแล้วกเงาๆนิด  ด้วยราคาทั้งสามตัวนี้ก็ไม่แพง  น่าจะอยู่ประมาณ 150 บาท แล้วแต่โปรโมชั่นแต่ละที บางทีเราเจอซื้อ 2 ตัวในราคาแค่ชิ้นเดียวด้วยนะ 
ฝากไว้ให้เพื่อนๆไปลองดู 

w7 foundation photo shoot ติดทน 16ชั่วโมง ถ่ายรูปสวย


 เพื่อนที่อยู่ประเทศอังกฤษน่าจะคุ้นเคยกับแบรนด์ W7 นี้อยู่บ้าง ของเขาดีอยู่หลายอย่าง ราคาก็ไม่แพงด้วย หลายๆตัวสามารถใช้ ทนแบรนด์ดัง ๆ ได้เลยนะ

วันนี้เราได้รองพื้นของ W7 มาตัวนึง รุ่นนี้ชื่อ PhotoShoot รุ่นนี้เขาทำออกมาด้วยกันทั้งหมด 5 สีตามรูปข้างบนนะนแหล่ะ
เขาเคลมมาว่าติดทน 16  ชั่วโมง 
ให้หน้าเนียนเรียบกริ๊บ  (อันนี้ไม่ได้ทำให้หน้าผ่องนะ  หน้าเนียนเรียบเฉยๆ ตัวนี้ไม่ได้มาทางสายเกาหลีนะจ้ะ)
ที่สำคัญเวลารองพื้นเช็ทตัวแล้วจะไม่เปื้อนเสื้อผ้า มันจะนิดหน้าอยู่ยังงั้นเขาว่า

บอกตรงๆที่เราสนใจซื้อตัวนี้มาเพราะว่ารูปลักษณ์มันดูคล้ายๆ กับ revlon colorstay เลย เราก็เลยอยากลองดูด้วยแหละว่ามันเหมือน revlon หรือเปล่า 

เปรียบเทียบให้ดู ของ w7 น้ำหนักอยู่ที่ 28ml ราคาประมาณ สองร้อยกว่าๆ  ส่วน revlon จะได้ 30ml ราคาอยู่ 400 -590 บาทโดยประมาณ

สีที่เราซื้อมาของ W7 ชื่อ natural tan ส่วน Revlon เองก็ชื่อ natural tan ด้วยเหมือนกัน
บังเอิญจังเลยชื่อเหมือนกันเดี๊ยะ แต่สีดูจากขวดไม่เหมือนกันอ่ะ

ทาให้ดูเลยละกัน


เนื้อผลิตภัณฑ์ของ W7 จะมีความเงาๆกว่าRevlonอยู่นิดหน่อย 
ยำว่านิดหน่อยเท่านั้น  ไม่มาก
แต่ทาเกลี่ยแล้ว ไม่เหนอะ ไม่เหนียว บางเบาแต่ปกปิดได้ดี  อาจจะเป็นเพราะว่าเราเลือกสีที่ใกล้เคียงกับผิวด้วยมั้งเลยปกปิดได้ดี ดูเนียนไปกับผิว


ภาพข่างล่างเป็นภาพที่ถ่ายโดยไม่ใช้แฟลช


ส่วนภาพนี้ใช้แฟลช เห็นเลยว่า ถึงใช้แฟลช W7  ก็ไม่ทำให้เกิดการสะท้อนของแสงแฟลช แต่ส่วนของฝั่ง Revlon นั้นสะท้อนเป็นแสงสีขาวออกมาเลย นี่ถ้าอยู่บนหน้าคงจะทำหน้าขาวลอยเป็นแน่  


ก็ไม่แปลกอะไรเพราะ Revlon มีสารกันแดดผสมอยู่ แต่ W7 ไม่มี ถ่ายรูปออกมาก็เลยไม่สะท้อนแสง
เพื่อนสามารถซื้อ W7 จากเวบไซต์ www.xtras.co.ukwww.xtras.co.uk ส่งฟรี ราคาไม่แพงด้วยนะ
สอง สามวันก็ได้รับของแล้ว





Sunday, February 22, 2015

how to rock with only one colour eyeshadow, แต่งตาให้สวยได้กับอายแชร์โดว์แค่สีเดียว

สวัสดีค่ะสาวๆ
หลายวันก่อนมีเพื่อนที่ทํางานถามมาว่า ถ้ามีอายแชโดว์แค่ สีเดียวจะแต่งตาได้ไหม
เพิ่งจะเริ่มแต่งหน้า ยังไม่มีครื่องสำอางค์มากมายอะไร
ตอบได้เบยว่า ได้ สบายมาก
จริงๆแล้วเราอยากบอกเพื่อนๆเลยนะว่า ไม่จำเป็นเลยว่าต้องมีของมากมายถึงจะแต่งหน้าได้
หัวใจหลักก็คือ หาสิ่งที่เข้ากับเรามากที่สุด และสิ่งที่เข้ากับเรามากที่สุด จะทำให้เราดูดีที่สุดในแบบของเรา
และราคาไม่ได้เป็นตัวบอกเสมอไปว่าขิงชิ้นนั้นจะดีที่สุด  อาจจะมีของที่ใช้อทนกันได้ในราคาที่ถูกกว่าก็ได้

มาดูกันว่ามีแค่อายแชร์โดว์สีเดียว จะแต่งยังไงดี
อันดับแรก เลือกอายแชร์โดว์ที่มีประกายปนอยู่ อันที่มีชิมเมอรร์อ่ะดีกว่า
เพราะว่าจะได้ดูมีมิติดีกว่าสีด้าน
วันนี้เราเลือกใช้ เมย์เบลลีน อายคัลเลอร์แทตทู Maybelline Eyecolor Tattoo
เพื่อนจะเลือกสีอะไรก็ได้นะแล้วแต่ชอบ ขอให้มีชิมเมอร์ก็พอ
สีที่เราเลือกก็คือ Bad to the Bronze เพราะเราเองขอบสีน้ำตาล ดูธรรมดาเป็นธรรมชาติดี
อีกอย่าง Maybelline Eyecolor Tattoo นี่ติดทนมาก ไม่จำเป็นต้องทาไพร์เมอร์ที่เปลือกตาก่อน ก็ติดทนนาน ไม่ตกร่อง เมย์เบลลีนเองบอกมาว่าตัวนี้ติดทนได้ถึง  24ชั่วโมงเลย

ทาให้ดูเลยละกัน

1)  ทาอายแชร์โดส์ให้ทั่วเปลือกตา


2) เขียนคิ้วให้เป็นรูป ในภาพเราใช้ in2it eyebrow powder 



3) ตามด้วยอายไบน์เนอร์ ในรูปเราใช้ lifeford




4) ดัดขนตา แล้วก็ปัดมาสคาร่า เมย์เบลลีน รุ่น เมกนั่ม




เสร็จแล้ว 4ขั้นตอนง่ายๆ ไม่เยอะ ไม่น้อยเกินไป




เพื่อนสามารถคลิกเข้าไปดูรีวิวสีต่างๆ ของ เมย์เบลลีน อายคัลเลอร์แทตทูได้ที่นี่จ้ะ



Saturday, February 21, 2015

สาเหตุที่ทำให้ส้นเท้าแตก และวิธีรักษาส้นเท้าแตก

สาเหตุที่ทำให้ส้นเท้าแตก
เป็นเรื่องตลกแบบขำไม่ออกสักเท่าไรที่ปัญหาส้นเท้าแตกนั้นมักจะมาจากการกระทำของตัวเราเองไม่ใช่ใครอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยที่อากาศร้อน เรามักจะใส่รองเท้าแตะ รองเท้าเปิดส้น และเราก็มักจะเดินในบ้านของเราด้วยเท้าเปล่า การใส่รองเท้าเปิดส้นและเดินในพื้นที่เย็น เช่นในบ้านหรือรองเท้าส้นเปิดและเดินในออฟฟิศที่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ส้นเท้าได้รับความเย็นและทำให้ผิวบริเวณนั้นแห้ง นอกจากนี้แล้ว น้ำหนักตัวที่มากเกินไป และการใส่รองเท้าที่คุณภาพไม่ดี จะทำให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าได้รับแรงกระแทกมาก ทำให้ผิวบริเวณนั้นหนาขึ้น ทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

การป้องกันส้นเท้าแตก
เมื่อเราทราบสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ส้นเท้าแตกแล้ว การป้องกันก็เป็นเรื่องตรงไปตรงมา คือทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่เป็นเหตุเหล่านั้นเท่านั้นเองค่ะเช่น
1) พยายามหลีกเลี่ยงน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ซึ่งจะทำให้ส้นเท้าต้องรับภาระมากขึ้น หนังบริเวณส้นเท้าจะหนาขึ้นและมีโอกาสกรอบแตกได้ง่ายขึ้น (อ่านบทความเรื่อง "ลดน้ำหนัก" คลิกที่นี่)
2) หลีกเลี่ยงรองเท้าประเภทที่ทำร้ายส้นเท้า พยายามเลือกชนิดที่มีบริเวณส้นเท้าที่นุ่มนวล และดีไปกว่านั้นก็คือใส่ถุงเท้านุ่มๆ ด้วย เป็นการช่วยส้นเท้าของเราได้ดีมากๆ เลยค่ะ
3) พยายามรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณส้นเท้า อย่าให้สัมผัสกับความเย็นโดยตรง ทุกครั้งที่เป็นไปได้ให้พยายามใส่รองเท้าเพื่อเดิน (ในออฟฟิศ ในบ้าน) เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความเย็นที่ทำให้ผิวบริเวณส้นเท้าเสียความชุ่มชื้นไป
4) หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ บนพื้นที่แข็งกระด้าง เพราะทำให้ส้นเท้าต้องรับภาระหนัก สุดท้ายเมื่อไม่ไหวก็เกิดการปรับผิวบริเวณนั้นให้หนาขึ้นๆ ซึ่งทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่ายขึ้น
5) สวยจากด้านใน เหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ส้นเท้าแตกก็คือการขาดความชุ่มชื้นของผิวและหนังบริเวณส้นเท้า การดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะไปทางค่อนข้างมาก จะทำให้ผิวชุ่มชื้นได้จากภายในตัวของเรา สามารถช่วยเรื่องของส้นเท้าแตกได้เช่นกันค่ะ

การแก้ไขส้นเท้าแตก
ถึงตรงนี้ เพื่อนๆ สาวๆ หลายท่านอาจจะคิดในใจว่า ขอวิธีแก้ไขก่อนได้ไหมล่ะ เพราะตอนนี้มีปัญหาอยู่เลย เดี๋ยวให้จัดการแก้ปัญหาเสร็จแล้วค่อยกลับไปจัดการป้องกันเจ้าปัญหาของส้นเท้าแตกนี้กันอีกที คำตอบคือได้เลยค่ะ เรามาดูกันดีกว่าทำอย่างไร โดยหลักการแล้วก็คือการทำให้ผิวบริเวณนั้น เรียบ กำจัดเอารอยแตกออกไป จากนั้นก็เพิ่มความชุ่มชื้น นุ่มนวล และคอยระวังไม่ให้ผิวหนังไม่หยาบหนามากเกินไป ซึ่งทำได้โดยวิธีต่างๆ ดังนี้ค่ะ
1) ก่อนนอน ให้แช่เท้าในน้ำอุ่นสัก 15 นาที จากนั้นขัดถูส้นเท้าที่แตกด้วยหินสำหรับขัดส้นเท้า ตรงนี้ต้องระวังอย่าถูแบบสุดแรงด้วยความแค้นที่่ทำให้เราสวยน้อยลงไปนะคะ คือถูแต่อย่าไประคายรบกวนรอยแตก การถูนี้จะช่วยลอกเอาเซลล์ของผิวที่ตายแล้วออก ทำให้ผิวที่เหลือเป็นผิวที่นุ่มนวล จากนั้นก็ล้างเท้า ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เช็ดให้แห้ง และทาครีมสำหรับทาเท้าซึ่งมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น ก่อนนอนก็สวมถุงเท้าเอาไว้ จะทำให้ส้นเท้าคงความชุ่มชื้นอยู่ตลอดคืน ทำแบบนี้เป็นประจำจะทำให้ส้นเท้าหายจากอาการกรอบแตกได้
2) นำเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่ส้นเท้าแตก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที กรดผลไม้และสารอาหารในเปลือกกล้วยจะช่วยลอกผิวและสมานส้นเท้าที่แตกได้เป็นอย่างดี
3) แช่เท้าในน้ำสบู่ แล้วใช้วาสลีน 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูกถูส้นเท้า
4) แว็กซ์เท้าด้วยพาราฟิน โดยการผสมพาราฟินกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด แล้วทาตรงส่วนที่มีรอยแตก ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออกในตอนเช้า ทำต่อเนื่องประมาณ 10-15 วัน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรอยแตกและผิวบริเวณส้นเท้าที่เคยแห้งแตกค่ะ

ส้นเท้าแตก เป็นปัญหาที่น่ารำคาญ บางครั้งทำให้ไม่มั่นใจจนเสียบุคลิกได้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้สาวๆ เข้าใจสาเหตุของปัญหา และสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาจิ๊บๆ แต่น่ารำคาญใจนี้ได้นะคะ

ที่มา :http://www.womanandkid.com/index.php/womanhealth/8-healthknowledge/213-cracked-heels

Friday, February 20, 2015

ครีมกันแดด physical ต่างกับ chemical อย่างไร

ครีมกันแดดในตลาดแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆก็คือ
1) physical
2) chemical
ซึ่งเจ้าสองตัวนี้ต่างกันตรงที่ครีมกันแดดแบบ physical นั้นใช้สารกรองแสงแบบกายภาพ ขณะที่กันแดดประเภท chemical นั้นใช้สารกรองแสงจำพวกสารเคมี แต่บางแบรนด์ก็จัดเต็ม ใช้ส่วนประกอบของทั้ง physical และ chemical ในครีมกันแดดตัวเดียวกันเลยก็มี

โดยประเภทแรก (physical ) นั้นใช้วิธีกันแดดโดยการสะท้อนและบล็อครังสียูวีจากแสงแดด
ส่วนประเภทหลัง (chemical) นั้น จะทำการดูดซึมรังสียูวีจากแสงแดดมากักเก็บไว้ ไม่ยอมให้ผ่านไปทำร้ายผิวหนัง ซึ่งในบางผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกรองแสงแบบ chemical ใช้การกระจายรังสียูวีออกไปแล้วจึงกักเก็บ แต่ส่วนใหญ่ใช้แบบดูดซึมธรรมดา


ท้ายสุดแล้วผลลัพธ์การป้องกันนั้นไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ก็กันแดดได้ทั้งสองประเภทนั่นแหล่ะ
วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าสารกันแดดที่เราใช้เป็นประเภทไหนให้เพื่อนๆดูส่วนผสม คือถ้าไม่มีส่วนผสมของ Zinc oxide หรือ Titanium dioxide แล้วก็ให้ตีว่าเป็นครีมกันแดดแบบ chemical นั่นเองค่ะ ส่วนจะเลือกแบบไหนนั้นก็ต้องตามใจเลยค่ะ แต่สำหรับสาวๆ ที่ไม่อยากเพิ่มสารเคมีเข้ามาในวิตประจำกัน ก็ควรเลือกแบบ physical เพราะสารที่ใช้นั้นจะไม่ดูดซิมเข้าผิวเรา เพียงแต่จะเกาะอยู่บนผิวหนังเท่านั้น

เพื่อนสามารถคลิคที่นี่เพื่อดูวิธีการทำครีมกันแดดได้ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ

Thursday, February 19, 2015

เครื่องสำอางค์ที่คล้ายกันมากจนแทนกันได้ แถมราคาถูกว่ามากกก best cosmetic dupes

เครื่องสำอางค์บางตัวเพื่อนๆรู้ไหมว่าคล้ายกันมากจนสามารถแทนกันได้เลยนะ
วันนี้เรามีหลายๆตัวที่เราเจอ เลยอยากเอามาแบ่งปัน


ตัวแรกเลย อายแชร์โดว์ของ urban decay "naked 2 "
ตัวนี้ราคาประมาณ 2,000 บาท



คู่แฝดของตัวนี้ที่เราเจอก็คือ w7 "in the buff"
ราคาประมาณ 300 บาท
เรื่องคุณภาพ จากที่เราเคยลองใช้แล้ว เยี่ยมมาก ติดทนนานมาก คลิกที่นี่เพื่อดูรีวิวิได้




ที่ทาแก้มตัวนี้ดังมาก nars สี orgasm
ราคาประมาณ 900 บาท

ตัวนี้แทนกันได้ดีเลย Sleek สี rose gold
ราคาประมาณ 200- 300 บาท

เจลอายไลน์เนอร์ ตัวนี้ดังไม่แพ้กัน bobbi brown long wear gel eyeliner
ราคาปาะมาณ 800 บาท


คูแฝดของเจลไลนเนอร์ตัวนี้ก็คือ เมลเบลลีน
Maybelline eyestudio drama gel eyeliner ราคาประมาณ 400 บาท

Tuesday, February 17, 2015

รีวิวที่ปัดแก้มเนื้อด้าน sleek makeup blush สีsahara และ flushed สีชัด ติดทน

สีทาแก้มที่เป็นสีด้านในบ้านเราหาซื้อยากมากนะ  ส่วนใหญ่บ้านเราจะชอบสีทาแก้มแบบเกากลีซะส่วนใหญ่ ทางสายเกาหลีมักจะปนชิมเมอร์ซะ ใหดูวับวับ เงาๆ
แต่งหน้าสำหรับกลาวงวันนั้นจะแต่งให้เงาๆตลอดๆก็จะดูเป็นลูกบอลกระจกหกด้านจนเกินไป มันก็ต้องมีบ้างที่ตะแต่งแบบปกติ ไม่ต้องเงาวับ
สำหรับเราเวลาจะหาสีด้านเราต้องไปหาจากแบรนด์ของฝรั่งเกือบทั้งนั้น

Sleek เป็นญี่ห้อจากฝั่งอังกฤษที่กำลังมาแรงอย่างมาก ด้วยเนื้อสีที่เข้มข้น สีชัดเจน หลายผู้ใช้บอกมาว่าสีเข้มยิ่งกว่าของ Nars เสียอีก
ตัวเราเองมีของ Sleek อยู่สองตัวด้วยกันนั่นก็คือ
1. สี sahara
2. สี flushed

ทั้งสองนี้เป็นสีด้าน ไม่วิ้ง ไม่เงา ไม่ว๊อบแว๊บ
ที่เรามีก็ตามรูปข้างล่างเลยจ้ะ




มาดูสีแรกกัน สี Sahara
เป็นสีส้มเข้มๆ ถ้าดูแบบนี้สีออกจะส้มใกล้เคียงกับฟักทอง แต่พอทาบนผิวแล้ว สีจะออกส้มๆ คล้ายๆผิวที่ออกแดด แล้วปน สีแทนนิดหน่อย  มีความเป็นสีคล้ายๆบรอนเซอร์เหมือนกัน เนื้อสีมีแป้งน้อยมาก ทำให้เวลาทาแล้วเม็ดสีที่เข้มข้นแทบจะกลืนไปบนผิวเราเลย สีแทบจะซึมลงไปในผิวเลย ความรู้ให้ดูธรรมชาติมาก ไม่ดูเหมือนการฟาดสีลงบนแก้มลอยๆ



สีทีสอง Flushed
สีออกจะมีความม่วงมังคุด ปนกับชมพูเข้ม ๆ เมื่อทาแล้วเราว่าทำให้ดูเหมือนแก้มชมพูช้ำๆ คล้ายๆกับสีแอบเปิ้ล จุดเด่นของเนื้อสีปัดแก้มของ Sleek รุ่นนี้ที่เราชอบมากก็คือความกลมกลืนกับสีผิวเราได้ดี ยิ่งทายิ่งซึมไปกับผิว เนื้อสีมีแป้งปนน้อย สีเข้มข้น ชัดเจน  ท้ายสุดแล้ว สี Flushed ตัวนี้ทาแล้วทำมห้หน้าเราดูชมพูแบบธรนมชาติมากเลยแหล่ะ


เทียบทั้งสองสีให้ดูกันใกล้ๆ


Monday, February 16, 2015

รีวิว MAYBELLINE EYESTUDIO COLOR TATTOO EYESHADOW ติดทนนาน ไม่ต้องพึ่งไพร์เมอร์

รีวิว MAYBELLINE EYESTUDIO COLOR TATTOO EYESHADOW ติดทนนาน ไม่ต้องพึ่งไพร์เมอร์
ข้อดีของอายแชร์โดว์แบบครีม ดีตรงที่ว่าเวลาเราใช้ทาเปลือกตา แบบครีมจะไม่หล่นล่วงลงบนแก้ม ไม่เหมือนแบบฝุ่น บางตัวสีเข้มนะ แต่ร่วงหล่นบนแก้ม ต้องเสียเวลามาเช็ดออก
อายแชร์โดว์แบบครีมที่ดีก็ต้องติดทน ไม่ตกร่อง สีก็ต้องชัด  แบรนด์ดังๆ ก็แพงจัง

แต่วันนี้ เจอแล้ว อายแแชร์โดว์แบบครีม ที่ติดทนนาน สีชัดเจน ราคาไม่แพง "MAYBELLINE EYESTUDIO COLOR TATTOO EYESHADOW"
ราคาต่อชิ้นขายที่บ้านเราก็ประมาณสองร้อยกว่าๆ ซื้อได้ตามโลตัส บิ๊กซี ทั่วๆไป หรืจะซื้อจากเวบไซต์เมลเบลลีนได้โดยตรงที่ sho.maybelline.co.th
เราเองมีทั้งหมดตอนนี้ 8 สี
เราเอากล่องชอคโกแลตมาใส่ ใส่ได้ 8 สีพอดีเลย


เนื่องเราใช้เองตริงๆ อาจจะมีเลอะที่ตัวตลัยอยู่บ้าง ต้องขออภัย

ทีนี้มาดูแต่ละสีกัน
1) #05 Too Cool

2) BE - 1 Color Ink
 

3) #35 Tough as Taupe



 4) #25 Bad to the Bronze


5) #15 Audacious Asphalt
 

6) #30 Pomegranate Punk


7) # 10 Fierce & Tangy


8) #40 Tenacious Teal

ป้ายที่แจนเราให้ดูแต่ละสีตามลำดับ
สีเซ็ทตัวเร็วม่ก พอเซ็ทตัวแบ้ว ถูเท่าไหร่ก็ไม่หลุด สีติดทนดีมาก


หลังจากนั้นลองจุ่มน้ำดู ถูๆก็ไม่หลุดเลย

ทีนี้ลองใช้เมคอัพรีมูฟเวอร์ ทาแล้วลองเช็ดดู



สรุปจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับล้างเครื่องสำอางถึงจะออก
สีเข้มชัด ติดทนนานขนาดนี้ เราประทับใจมาก 
ว่าจะไปหาเพิ่มอีกหลายๆสี แล้วจะมาทาให้ดูนะ