Sunday, November 20, 2016

รีวิวเอล์ฟครีมคอนทัวร์ review elf cream contour pallete



วันนี้มีครีมคอนทัวร์ของเอล์ฟ (elf cream contour pallete) มารีวิวให้เพื่อนๆดู
ก่อนอื่นเราเคยคิดว่าครีมคอนทัวร์ไม่น่าจะเหมาะกับเราเท่าไหร่เพราะว่าเรามีผิวมัน แต่เห็นหลายๆคนใช้แล้วบอกว่าดี เราก็เลยลองใช้ดูบ้าง

ครีมคอนทัวร์ ของเอล์ฟตัวนี้ขายอยู่ที่อเมริกาอยู่ที่ $6.00 เท่านั้น ซึ่งถือว่าราคาไม่สูง
ตลับนี้มาด้วยกันสี่สี ทั้งหมดเป็นสีด้าน ไม่มีชิมเมอร์หรือประกายเพชรอะไรปนมาเลย ซึ่งเหมาะกับการสร้าแสงและเงา หรือ shading ทั้งสี่สีที่มีมาในตลับสามารถถอดออกมา สลับสับเปลี่ยนที่ได้ หรือจะสลับกับตลับอื่นๆ ของเอล์ฟได้ด้วย ถือว่าเอล์ฟ ดีไซน์ได้ดีเรื่องตลับที่สามารถเปลี่ยนย้ายได้

พื้นฐานผิวเราเป็นคนผิวมันโดยเฉพาะทีโซน เนื่องจากตอนนี้เราอยู่ที่อเมริกา อาหารเดือนนี้เริ่มเย็นขึ้น แดดมีน้อยลง ทำให้หน้าเราแห้ง บางทีแตกเป็นขุย เราเลยเริ่มที่จะหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นครีมมาใช้ดูบ้าง


หลังจากวันแรกที่ได้ลองใช้ก็ชอบเลย เกลี่ยง่าย ไม่รู้สึกว่าหน้ามันเเพิ่มขึ้นขึ้นเลย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากอากาศที่ค่อนข้างแห้งด้วย เวลาใช้คอนทัวร์ส่วนที่ทาก็เป็นด้านข้างๆ บริเวณใต้โหนกแก้ม ซึ่งบริเวณนี้เราไม่ค่อยมีเหงื่ออกเท่าไหร่ ก็เลยหน้าไม่มัน

วันแรกที่ใช้ไปทำงานก็ประมาณ 8-9 ชั่วโมง ก็ติดอยู่ทนทั้งวัน สีไม่จืดลงเลย การคอนทัวร์ด้วยครีมนี่ดีตรงที่มันจะติดทนกว่าแป้ง แล้วถ้าเกลี่ยให้ดีมันก็จะกลืนไปกับผิวทำให้ดูเป็นเงาจริงๆ สร้างโครงหน้าได้ดีทีเดียว


สำหรับผิวสีแทนของเรา เราจะชอบสีสุดท้าย ซึ่งเป็นสีเข้มที่สุดในตลับ จากที่ดูบนแขนเราอาจจะดูเข้มจนเกินไป แต่เวลาที่เราเกลี่ยให้บางลงแล้วสีค่อนข้างเหมาะกับเราดีที่เดียว
เวลาใช้เราจะใช้แปรงทาที่หน้าก่อน แล้วใช้ฟองน้ำบีบให้หมาด แล้วสเปรย์เซ็ตติ้งสเปรย์ที่ฟองน้ำ แล้วใช้เกลี่ยให้กลืนไปกับผิว เนื้อครีมละเอียดมาก เกลี่ยง่าย ถ้าเพื่อนๆที่มีผิวแห้งอยากให้ลองใช้ดู อาจจะชอบเหมือนกันก็ได้





Monday, October 3, 2016

รีวิวรองพื้นริมเมล แมชเพอร์เฟคชั่น rimmel londo foundation 24hr moisture pore bluring effect



เราได้ลองใช้รองพื้น ของริมเมลตัวนี้ที่เห็นในรูมาสองอาทิตย์แล้ว ค่อนข้างชอบ วันนี้จะมารีวิวให้เพื่อนๆฟังกัน
รองพื้นตัวนี้เราซื้อมาจากร้านวอลมาร์ทที่อเมริกานี้ราคาประมาณ $6-$7 น้ำหนัก 30ml
สูตรนี้มี กันแดด SPF20 ถือว่าเยอะกว่ารองพื้นบางตัวที่มีแค่ SPF15
นอกจากนี้เค้าบอกไว้ว่ามันสามารถอำพลางรูขุมขนได้ (pore bluring effect)

ลองให้ดูกัน
สีที่เราใช้ตอนนี้คือสี 200(240) Soft Beige ซึ่งเป็นสีมี่สีเหลืองปนอยู่นิดหน่อย 
ดูไม่ชมพูจนเกินไป  ส่วนใหญ่พวกรองพื้นของฝั่งตะวันตก หรือยุโรปมักจะมีสีชมพูผสมอยู่เยอะ แต่สีนี้ค่อนข้างเหมาะกับผิวชาวเอเชียที่มีสีเหลืองๆปนๆอยู่

ภาพข้างล่างเป็นภาพที่สวอชสีรองพื้น

พอเกลี่ยรองพื้นกับผิวเกลี่ยง่าย แห้งเร็ว มีความชุ่มชื้นอยู่ซึมไปกับผิวได้ดี ความรู้สึกที่ผิวก็รู้สึกไม่หนา แต่มีความชุ่มชื้นปนๆอยู่เล็กน้อย ไม่รู้สึกทำให้หน้าแห้ง เวลาสัมผัสที่ผิวไม่รู้สึกเหนอะหน้า คล้ายๆทาแป้งบางๆ 

ภาพข้างล่างเป็นภาพที่เกลี่ยสีรองพื้นแล้ว

ส่วนเรื่องที่บอกว่าสามารถอำพลางรูขุมขนได้ เรารู้สึกได้ว่ารูขุมขนดูไม่ชัด ดูเลือนๆ สำหรับผิวเราซึ่งไม่ได้มีริ้วรอยลึกอะไรมากมาย สามารถเลือนริ้วรอยได้ดี ดูเรียบเนียนแบไม่หนา ไม่ดูเหมือนพอก ผิวที่ได้ไม่ดูมันเยิ้ม ไม่เงามาก แต่ก็ไม่แมทนะ 

เราใช้รองพื้นตัวนี้นานที่สุดก็ประมาณ 8 ชั่วโมง  อากาศที่นี่ก็ค่อนข้างเย็น รองพื้นก็ติดอยู่ได้ตลอดทั้งวัน เราไม่ต้องซับหน้ามันเลย  ส่วนในวันที่อากาศร้อนเราก็จะมีเหงื่อออกตามทีโซน ซับหน้าบ้างตอนพักเที่ยง แล้วจากนั้นก็อยู่ได้ทั้งวัน 

หน้าเราเป็นผิวมันบริเวณทีโซน ข้างๆแก้มก็ค่อนข้างแห้ง รองพื้นตัวนี้ถือว่าไม่แห้ง ไม่เหนียวเกินไป เหมาะกับผิวเราช่วงนี้ ช่วงที่อากาศเริ่มที่จะเย็นขึ้นบ้างแล้ว เป็นรองพื้นที่ให้ความชุ่มชื้นแบบพอดีๆ ไม่เงาวับ คล้ายๆกับรองพื้นเมเบลลีนรุ่นดิ้วอี้ แต่ของริมเมลเนื้อจะแห้งกว่าเล็กน้อย แล้วก็ปกปิดได้ดีกว่านิดหน่อย 

Monday, September 26, 2016

อายุเยอะขึ้นใช้ครีมลดริ้วรอยอะไรดี รีวิว ครีมลอรีออล L'Oreal wrinkle expert day and night moisturizer



สวัสดีค่ะ 
เพื่อนๆสบายกันดีนะคะ
สำหรับวันนี้เรามีผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยที่เราใช้มาได้สองสามเดือนแล้วรู้สึกว่าทำให้ผิวหน้าของเราดูดีขึ้นดูมีความชุ่มชื้นมีความเด้งเพิ่มขึ้นมา อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การใช้ครีมตัวนี้ให้เพื่อนๆฟัง

สำหรับตัวเราเองตอนนี้อายุก็เกิน 35 มานิดหน่อยแล้ว เราเองเริ่มที่จะใส่ใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์มาดูแลริ้วรอยบนผิวหน้าเราได้ลองใช้ครีมต่างๆที่บอกว่าสามารถลดริ้วรอยได้มาก็หลายตัวแล้ว

จนวันหนึ่งเราได้มาเจอกับครีมตัวนี้ของ ลอรีอัล ราคาก็ไม่แพงซึ่งเราซื้อจากร้าน Walmart ที่อเมริกาอยู่ที่ราคาประมาณ 10 เหรียญสหรัฐตกเป็นเงินไทยประมาณ 350 บาทซึ่งถือว่าเป็นราคาปกติไม่สูงมาก
ครีมรุ่นนี้ทำออกมาสีรุ่นด้วยกันนั่นก็คือสำหรับคนอายุ 25 ขึ้นไป 35 ขึ้นไป 45 ขึ้นไปและสุดท้าย 55 ขึ้นไป
ซึ่งแต่ละสูตรก็จะไม่เหมือนกัน

1) สำหรับคนอายุ 25 ขึ้นไปเป็นสูตร hyaluronic acid




2) สำหรับคนอายุ 35 ขึ้นไปเป็นสูตร collagen



3) สำหรับคนอายุ 45 ขึ้นไปเป็นสูตร Retino Peptide



4) สำหรับคนอายุ 55 ขึ้นไปเป็นสูตร calcium



เราเองเลือกมาสองสูตรนั่นก็คือสูตรสำหรับคนอายุ 35 ขึ้นไป ซึ่งเป็นกระปุกสีฟ้าอ่อน กับอีกกระปุกนึงที่ซื้อมาด้วยก็คือสำหรับคนอายุ 45 ขึ้นไปซึ่งเป็นกระปุกสีแดง 


ทั้งสองกระปุกมีครีมลักษณะสีขาวคนกลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายๆกับกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์ เมื่อใช้แล้วรู้สึกสดชื่น 



ส่วนตัวแล้วเราชอบที่จะใช้ตัว 35+ มากกว่า เพราะให้ความรู้สึกชุมชื่นกับผิวมากกว่าอีกตัวหนึ่งเนื่องจากว่าเราอยู่ที่อเมริกาอากาศค่อนข้างหนาวครีมตัวนี้นอกจากจะช่วยลดริ้วรอยแล้วยังให้ความชุ่มชื่นผิวหน้าไม่มีแตกรายงา ขุยๆที่เคยมีก็หายไปนะ เราใช้ทาทั้งเช้าและก่อนนอนเวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้าเราเองรู้สึกว่าเวลาล้างหน้าผิวหน้าดูนิ่มนิ่มล้างหน้าลื่นขึ้น ส่วนในเรื่องของการลดริ้วรอยนั้นเราเองไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เพราะว่าเราไม่ได้มีริ้วรอยที่ดูลึกหรือหนาเท่าไหร่นัก แต่ในเรื่องของการทำให้หน้าชุมชื่นมีความเต่งตึงขึ้นเราว่าครีมตัวนี้ใช้ได้ทีเดียว

ส่วนครีมตัว 45+ ตัวนี้ค่อนข้างบางๆ ไม่ค่อยให้ความชุ่มชื้นกับผิวเราสักเท่าไหร่ แต่ไม่ได้แปลว่าครีมตัวนี้ไม่ดีดี เค้าออกแบบมาสำหรับคนอายุ 45 ขึ้นไป มันอาจจะไม่เหมาะกับเราก็ได้ 

สำหรับเราเองคิดว่าจะใช้ครีมตัว 35+ ต่อไปเพราะว่าชอบมากแล้วก็เหมาะกับผิวเราส่วนเพื่อนเพื่อนจะเหมาะกับครีมตัวไหนคงต้องลองใช้กันดูใช้แล้วเป็นอย่างไรบ้างเขียนมาบอกกันบ้างนะ

Wednesday, September 21, 2016

วิธีล้างเจลอายไลน์เนอร์ที่เหนียวติดทนนาน ให้ออกได้ง่ายสะดวกรวดเร็ว ในแบบของเรา


เราเป็นอีกคนนึงที่ชอบใช้อายไลน์เนอร์เขียนขอบตา จะทำให้ตาเราดูมีขนตาหนาขึ้น หนึ่งในอายไลน์เนอร์ที่ทำให้ตาดูคมชัดก็คือพวกเจลไลน์เนอร์ พวกนี้นี่จะติดทนและล้างออกยากมาก คือจะใช้เจลล้างหน้าธรรมดาไม่มีทางจะล้างออกได้หมด ในบางทีเราอาจจะต้องถูแรงๆเพื่อให้ออก


หลายๆคนก็จะมีวิธีที่จะล้างอายไลน์เนอร์แตกต่างกันออกไป เราเองก็ใช้มาหลายวิธี ลองมาหลายผลิตภัณฑ์แล้วเหมือนกัน วันนี้เราจะมาบอกวิธีที่เราล้างอยู่ประจำมาบอกกัน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกกับเราแล้วก็ล้างออกได้ดี และง่ายๆด้วยนั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า cleansing oil คลีนซิ่ง ออยล์ 


ซึ่ง คลีนซิ่ง ออยล์ในตลาดที่เขาขายๆกันก็มีหลายๆแบรนด์ หลายๆญี่ห้อ สำหรับวันนี้เราจะพูดรวมๆละกัน วิธีการใช้เราจะใช้พร้อมกันเวลาจะอาบน้ำ ขณะที่หน้ายังแห้งอยู่ก็ใช้ คลีนซิ่ง ออยล์นวดลงไปที่หน้า ลักษณะก็คือน้ำมันนี่เอง นวดหน้าไปเรื่อยๆ เครื่องสำอางจะละลายออกมา ทั้งอายไลนเนอร์ ทั้งมาสคาร่าที่เหนียวๆ ที่ว่าติดทนนาน เจอคลีนซิ่งออยเข้าไปก็หลุดหมดนะ ส่วนจะนวดหน้านานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละญี่ห้อแล้วแต่เพื่อๆจะเลือกใช้  พอนวดจนพอใจแล้วก็ล้างน้ำออก เราก็อาบน้ำไปด้วยทีเดียวเลย

เราชอบใช้คลีนซิ่งออยล์ในการล้างที่สุดเพราะว่าสะดวกดี ล้างเครื่องสำอางออกได้ดีมาก ขั้นดีมากจริงๆ ไม่ต้องใช้สำลีมาเช็ดถู ส่วนตัวเราคิดว่ายิ่งถูยิ่งดึงรอบดวงตามากเท่าไหร่ยิ่งจะทำให้เกิดริ้วรอยกับผิวเราเร็วมากขึ้นเท่านั้น เราเลยเลืออะไรที่อ่อนโยน ไม่ต้องถู ไม่ต้องเช็ดมาก ก็น่าจะดีกว่า

ส่วนคลีนซิ่งออยล์ตัวโปรดของเรามีอยู่ 2 ตัว ตัวแรก คือ DHC ตัวนี้ขวดใหญ่ พันกว่าๆ ชอบตรงที่มันละลายเครื่องสำอางได้รวดเร็วจริงๆ 


ส่วนตัวที่สอง เป็นของ Z.A ซีเอ ขวดเล็กกว่า DHLหน่อย ขวดละ 200-300 บาท หาซื้อได้ตามห้างทั่วไป โลตัสก็มี
ความรวดเร็วใกล้เคียงกับ DHL 
ตอนนี้เราก็ใช้ทั้งสองตัวนะแหล่ะ ตัวไหนหมดเราก็เอามาใช้แทนกัน


จริงๆไม่ใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้ ใช้น้ำมันมะพร้าวล้างก็ออกนะ แต่ต้องเช็ดออกแทน เพราะน้ำมันมะพร้าวไม้ได้ละลายน้ำเหมือนกับคลีนซิ่งออยพวกนี้ เราเองไม่อยากเช็ดหน้า อยากจะเลี่ยงเลี่ยงการเช็ดถูที่หน้าเพื่อให้เกิดริ้วรอยให้น้อยที่สุดเราก็เลือกที่จะใช้คลีนซิ่งออยซะมากกว่า

ก็อย่างที่บอกว่านี่คือวิธีล้างอายไลน์เนอร์ในแบบของเรา อาจจะไม่ถูกกับไลฟ์สไตล์กับทุกคนได้ ก็แล้วแต่ความชอบแต่ละคน สภาพผิวของแต่ละคนด้วย แล้วเพื่อนๆล่ะมีวิธีไหนกันบ้าง เขียนบอกกันบ้างนะ 





Wednesday, September 7, 2016

รีวิว มาสคาร่า ริมเมล review mascara rimmel london scandal eyes volume flash


วันนี้เรามีมาสคาร่าที่เราซื้อมาใช้ตัวนึงเป็นของ rimmel london รุ่นนี้ชื่อ volume flash scandal eyes waterprooof mascara สาเหตุที่ซื้อตัวนี้มาเพราะว่าเราได้คูปองส่วนลดมา เลยอยากลองของใหม่ซื้อมาใช้ เพราะว่าเห็นที่ตัวเพจเกจว่าทำให้ขนตาหนาขึ้น เรายิ่งรีบสอยมาใช้เลย
ราคาที่ขายอยู่ที่อเมริกาก็ประมาณ $5-$6

ลักษณะก็เป็นหลอดพลาสติคสีส้มขนาดโตๆ 


ใช้มาอาทิตย์นึงแล้ว ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ สิ่งแรกที่ทำให้เรางงจนถึงทุกวันนี้ก็คือ แปรงจะใหญ่ไปไหน..... มันใหญ่มาก...... ที่เห็นในรูปอาจไม่ชัดเจน แต่อยากบอกว่าแปรงมันโตมากจริงๆ ถ้าเวลาใช้ไม่ระวัง เปื้อนหน้า เปื้อนหนังตา เปื้อนโหนกคิ้วแหงๆ 


เราไม่รู้สึกว่ามันทำให้ขนตาเราหนาขึ้นนะ เรารูสึกว่าแค่มันทำให้ขนตาเรามีสีดำก็เท่านั้น เรื่องทำให้ขนตายาวขึ้นนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีแน่นอน เนื่องจากรุ่นนี้เป็นรุ่นกันนำ้ก็เลยกันน้ำได้ดี ไม่มีเปื้อนเป็นแพนด้า ล้างออกได้ดีไม่ยาก ไม่ง่าย ถ้าใช้แค่เจลล้างหน้าก็ออกอยู่นะ แต่ต้องถูไปถูมาสักนิดนึง 

เราว่ามาสคาร่าตัวนี้ให้ลุคเบาๆ ในวันใสๆมากกว่า สำหรับที่ต้องการขนตาดูหนาๆ ยาวๆ เป็นแพๆ คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ แต่ยังไงซื้อมาแล้ว เราก็จะใช้ต่อไปจนกว่ามันจะหมดหลอดน่ะแหล่ะ 

Monday, August 22, 2016

สวอชสีลิปสติค elf moisturizing lipstick ลิปสีและลิปบาล์มในหลอดเดียวกัน




O

วันนี้เรามีลิปสติคของเอลฟ์ รุ่นมอสเจอร์ริ่ง ลิปสติคมาสวอชสีให้ดูกัน
เรามีด้วยกันทั้งหมดสี่สี ตัวเพจเกจที่เห็นในรูปต่างกันอยู่ แต่ทั้่งสองแพคเกจนั้นเป็นรุ่นที่เรียกว่ามอสเจอร์ริ่งลิปสติค ( elf moisturing lipstick) เค้าอาจจะมีการเปลี่ยนแพคเกจมาก่อน อันนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าแพจเกจไหนเก่า แพคเกจไหนใหม่กว่า  

ราคาที่ขายอยู่ที่อเมริกาอยู่ที่ประมาณ $3-$4 เหรียญซึ่งราคาไม่แพงมาก 



ที่น่าสนใจสำหรับเราก็คือที่ก้นของลิปสติคที่เห็นว่าเป็นสีๆนั้นสามารถแกะออกมาได้ด้วย ซึ่งมันเป็นลิปบาล์ม เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้ด้วย แต่สีที่ได้นั้นจะไม่เข้มเท่ากับสีลิปสติคนะ มันจะเป็นสีอ่อนๆ ซึ่งเราเองไม่ได้ใช้ ส่วยใหญ่เราใช้ส่วนที่เป็นลิปสีเสียมากกว่า




ทีนี้มาสวอชสีลิปสติคกัน

สีที่ได้ไม่เข้มข้นมากนัก ต้องทาสองสามทีกว่าจะได้สีชัดเจน แต่ว่าเนื้อลิปสติคให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างดีเลย เนื้อลิปสติคมีความคล้ายคลึงกับขี้ผึ้งที่คนแก่ใช้ทาปากนะ แต่ว่านิ่มกว่านั้นนิดนึง แต่ก็ไม่นิ่มขนาดที่จะลื่นไหล อกกมาเลอะเทอะนอกขอบปาก ดังนั้นเวลาที่เราใช้มันก็จะติดที่ปาก อยู่กับที่ และที่เราชอบคือมันไม่เปื้อนฟัน คือลิปบางตัวที่เราเคยใช้มาก่อนหน้านี้เวลาที่เนื้อลิปมันนิ่มมากๆ มันก็จะมีไหลมาเปื้อนฟันได้ แต่ลิปสติครุ่นนี้ของเอลฟ์ดีทีเดียว

แต่สิ่งนึงที่เราไม่ชอบเอาเสียเลยก็คือ เนื้อลิปสติคมีความหวาน คือมันหวานจริงๆ หวานมากจนน่ารำคาญ ทุกครั้งที่เราเลียปาก เราก็รู้สึกแล้วอ่ะ ถ้าเอลฟ์จัดการเอาความหวานออกจากสูตรลิปสติคได้ก็จะดีมากเลย

Thursday, August 11, 2016

ยาทาเล็บสามสีใหม่จาก L.A. Colors ยาทาเล็บสีนู๊ด


ที่อเมริกาตอนนี้เป็นฤดูร้อนอย่างเต็มตัวแล้วค่ะ  ก่อนหน้านี้เวลาเข้าฤดูร้อนทีไรเราจะเห็นผลิตภัณฑ์ต่างออกมาเป็นสีสันสดใส มีสีที่ชัดเจน แต่ฤดูร้อนปีนี้เราจะเห็นสีออกโทนนู๊ด ซึ่งค่อนข้างอินเทนรนด์ที่นี่เป็นอย่างมาก ส่วน L.A. Colors เองก็ออกสีทาเล็บคอลเล็คชั่นใหม่ เป็นโทนสีแบบนู๊ด สีตุ่นๆ มีให้เลืกหลายสีมากมาย 

เราเองได้มาสามสีตามรูปข้างล่างนี้
เช่นเคยค่ะ L.A.colors ราคาไม่แพง เราซื้อจากร้าน ดอลล่าร์สโตร์ จ่ายไปที่ราคาขวดละ $1 หรือประมาณ 33 บาทไทย

แปรงก็เหมือนเดิมเป็นปลายตัด ค่อนข้างแข็ง พอใช้งานได้

สวอชสีให้ดูกัน
สีแรก ชื่อสี "CNP205 Girl Crush"

สีที่สอง "CNP207 Mod" 
สีนี้ทาออกมาแล้วค่อนข้างเข้มกว่าที่เห็นจากขวด 

สีสุดท้ายที่เรามี "CNP594 Ruthles" สีนี้เราชอบที่สุด เหมาะกับการทาไปทำงาน กับวันเบาๆ แบบคลาสสิค

แล้วเพื่อนล่ะ ชอบสีไหนกันบ้าง


Monday, August 1, 2016

รีวิวที่ปัดแก้มสีโปรดสองสีจาก wetnwild สูตรใหม่ เนื้อนิ่มกว่าเดิม

เรามีที่ปัดแก้มสองสีที่เราชอบมากตอนนี้ และเราเองก็หยิบมาใช้แทบทุกวันเลย นั่นก็คือ ที่ปัดแก้มของเว็ทแอนด์ไวลด์ wetnwild color icon ที่เห็นนี้เป็นสูตรใหม่ซึ่งเนื้อนุ่มกว่าเดิม 
เราซื้อจากร้านที่อเมริกาชื่อร้าน winco ซึ่งเป็นร้านขายของชำทั่วๆ ไป
เราจ่ายไปที่ราคา $2.32 ต่อชิ้น (ประมาณ 75 บาท)
ตามที่เห็นร้านนี้ขายถูกที่สุดแล้วนะตอนนี้


สองสีที่เรามีก็คือ 
1) rosé champange เป็นสีออกน้ำตาลอ่อน มีประกายสีทองเล็กผสมอยู่
2) pearlecent pink เป็นสีชมพู ผสมสีพีชส้มๆ ที่มีสีทองบรอนซ์เล็กๆปนอยู่


ช่วงนี้ของอเมริกาเป็นช่วงหน้าร้อน ปัดแก้มที่มีประกายบรอนซ์ปนอยู่ค่อนข้างจะอินเทรนด์ ตอนแรกเราคิดว่าใช้ที่ปัดแก้มแบบเงาๆ วาวๆ อาจจะไม่เข้ากับเรา เราก็เลยเลืกใช้ที่ปัดแก้มแบบด้านมาตลอด แต่พอได้มาลองใช้ wetnwild ตัวนี้ดู ติดใจเลย ผิวดูโกลว์ แบบสว่างๆ ไม่วิ้งจนเกินไป ไม่แวววับจนเกินพอดี
เราเองส่วนใหญ่จะใช้สี rosé chanpange อยู่บ่อยๆ เพราะว่าเป็นสีที่เข้าได้กับทุกสีเลยทีเดียว  วันไหนที่เราอยากแต่งหน้าออกชมพูอมพีชเราถึงจะเลือกใช้ perlescent เราสามารถใช้ที่ปัดแก้มเพียวๆได้โดยไม่ต้องใช้ไฮไลท์ ซึ่งก็ดูดีเหมือนกัน เพราะว่าเนื้อแป้งค่อนข้างมีความเงาแวบวับจางๆ อยู่ 

ที่เราชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อแป้งสูตรใหม่ของ wet n wild รุ่นนี้เนื้อเนียนละเอียดดี ไม่เป็นฝุ่นแป้งกระจัดกระจาย เวลาใช้เนื้อที่ปัดแก้มของเขาสามารถกลืนไปกับผิวได้ดี ดูไม่ลอยๆ แถมราคาไม่แพงอีกด้วย

จากที่ถามๆมาที่ปัดแก้มรุ่นนี้ขายอยู่ที่เมืองไทยราคาประมาณ 199 - 250 บาท เพื่อนๆลองแวะเข้าไปดูที่วัตสัน หรือไม่ก็โลตัสสาขาที่มีแผนกเครื่องสำอาง wetnwild ได้ ราคาที่ไทยก็จะแพงกว่าที่อเมริกานิดหน่อย ใครสนใจก็ลองไปซื้อมาลองดูนะ 

Thursday, July 28, 2016

บลัชออน (ปัดแก้ม) อะไรดี ราคาไม่แพง สีสวยติดทนนาน

วันนีเรามีบลัชออน 5 ตัวที่อยากแนะนำมาฝาก
บลัชออนหรือที่ปัดแก้มที่จะบอกกล่าวในวันนี้เป็นที่ปัดแก้มที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นแบบแป้ง ราคาไม่แพงเวอร์เพราะเป็นญี่ห้อ drugstore ทั้งนั้น 

1) ตัวแรก wet n wild color icon
ตัวนี้เป็นญี่ห้อของฝั่งอเมริกา ราคาต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณ $2.99 
ภาพแรกเป็นรุ่นเก่าซึ่งที่อเมริกาหาซื้อไม่ได้แล้ว

ส่วยนภาพนี้เป็นรุ่นใหม่ สีใหม่ให้เลือก ราคาก็เท่าเดิม อยู่ที่ประมาณ $2.99 ต่อชิ้นขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน ส่วนราคาที่ขายที่เมือไทยน่าจะแพงกว่านี้หน่อย

สีที่ได้จากที่ปัดแก้มของ wet n wild ชัดเจน และสีเข้มมาก เนื้อค่อนข้างแน่น ไม่ค่อยเป็นฝุ่นๆกระจัดกระจาย 
เกลี่ยให้เกลือนกับผิวได้ง่าย แถมราคาไม่แพงอีกด้วย


2) ตัวที่สองเป็นของ sleek ซึ่งเป็นเครื่องสำอางจากฝั่งอังกฤษ  ราคาประมาณ 400-450 บาท ต่อชิ้น
เดิมที sleek เขาออกตัวมาเลยว่าเป็นเมคอัพที่เหมาะกับสาวผิวสีโดยเฉพาะ ซึ่งสีที่มีให้เลือกล้วนเป็นสีชัดๆทั้งนั้น
คุณภาพเนื้อสีแน่นมาก เนื้อไม่เป็นแป้งเบากระจัดกระจาย. เราเคยใช้ที่ปัดแก้มบางญี่ห้อที่แค่เราแตะแปรงลงไป เนื้อแป้งก็ออกมาเป็นผงๆ ปลิวกระจัดกระจายเต็มไปหมด แต่สำหรับที่ปัดแก้มของ sleek นี้เนื้อแน่นจริงๆ ได้สีที่ตรงตามที่เห็นในตลับ เกลี่ยง่าย เวลาทาแล้วคล้ายๆกับว่าเนื้อสีซึมลงผิวลงไป ให้ลุคที่ใกล้เคียงธรรมชาติค่อนข้างดี ดูไม่ลอย

3) ตัวนี้หาซื้อได้ที่เมืองไทยจากร้าน beauty buffet ราคา 400-450 บาทต่อชิ้น
เนื้อสีแน่ สีชัดเจน เนื้อแป้งค่อนข้างนิ่ม ไม่ปลิวกระจัดกระจาย
ความรู้สึกคล้ายๆกับของ sleek เลย เวลาทาแล้วก็รู้สึกได้ว่าสีกลืนไปกับผิวเราได้ดีทีเดียว ไม่ดูลอยๆเหมือนกับบางญี่ห้อที่เราเคยใช้ 


5) ตัวนี้มีถึง 4 สีในตลับเดียว เป็นของ E.L.F cosmetics ราคา$6 ต่อชิ้น
ตลับออกแบบมาดีที่เดียว สามารถ แกะออกมาสลับสับเปลี่ยนกับตลับอื่นๆได้ด้วย
ตัวนี้เนื้อแป้งค่อนข้างแข็ง แต่สีที่ได้ค่อนข้างชัดเจน เกลี่ยง่าย แถมราคาก็ไม่แพงด้วย








Wednesday, June 29, 2016

แปรงแต่งหน้า wetnwild ราคาถูกคุณภาพดี


แปรงแต่งหน้าราคาถูกที่อยากแนะนำ
วันก่อนเราเจอแปรงแต่งหน้า wetnwild ที่ร้าน winco เราซื้อมาลองตัวนึงเป็นแปรงทาอายแชร์โดว์ ราคา$0.78 ซึ่งราคาถูกกว่าที่ขายในเว็บไซต์เสียอีก  ตามรูปข้างล่าง


ขนแปรงนิ่มมาก แต่ว่าเวลาที่เราลองใช้ก็มีหลุดๆออกมาบ้าง ด้ามจับแข็งแรงใช้ได้ ที่ด้ามมีรอยบุ๋มเหมาะมือเวลาจับด้วย

ส่วนอีกตัวนึงที่เราซื้อมาเป็นแปรงทารองพื้น ปลายแบน
ขนแปรงนิ่มดี ใช้ทาทองพื้นได้ดี เกลี่ยง่าย
เราซื้อมาที่ราคา $2.32 
ที่ด้ามจับมีรอยบุ๋ม จับถนัดมือดี







แปรงของ wetnwild นี้ไม่ได้มีทุกร้าน ที่ร้านที่มีขายบางทีก็ไม่ได้มีทุกรุ่น ถ้าต้องการรุ่นที่ไม่มีขายในร้าน สามารถซื้อได้จากเว็บไซต์ ได้ที่นี่ 



Sunday, June 26, 2016

แนะนำแป้ง และรองพื้นสำหรับคนหน้ามัน maybelline fit me matte + poreless

สำหรับสาวๆที่หน้ามันมากๆ แล้วยังไม่เจอผลิตภัณฑ์ที่ใช่ละก็
วันนี้ขอแนะนำ รองพื้นและแป้งคู่นี้ของ เมเบลลีน รุ่น ฟิทมี แมท+พอร์เลส (maybelline fit me matte + poreless) 
คู่นี้เหมาะสำหรับสาวผิวมันที่ต้องการควบคุมความมัน 
เราเองใช้คู่นี้มาประมาณปีกว่าๆ แล้ว ชอบมาก
เพราะลุคที่ได้จะเป็นลุคหน้าแมท ไม่เงาวับได้ผิวหน้าที่ด้าน และเรียบเนียน




เริ่มจาก รองพื้นก่อนละกัน สีที่เราใช้คือ 228 soft tan
ลักษณะเป็นขวดแก้ว บรรจุรองพื้นไว้ 30ml
ราคาประมาณ $6
  
เนื้อรองพื้นเกลี่ยง่ายมาก ทาแล้วรู้สึกได้ที่ผิวว่าดูแห้งๆ ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีความรู้สึกคล้ายๆแป้ง เบาบาง รู้สึกสบายผิว ระดับการปกปิดอยู่ที่ระดับเปาบางถึงปานกลาง ให้ดูผิวเรียบเนียน


ส่วนแป้งแต่งหน้า เป็นแป้งเบาบางที่ไม่ผสมรองพื้น
น้ำหนัก 8.50 g.
ราคาประมาณ $5 


สีที่เราใช้คือ 130 buff beige 
เราจะใช้แปรงใหญ่แต้มแป้งแล้วแตะที่หน้า ส่วนตัวเราจะไม่ใช้พัพเพราะมันจะทำให้หน้าเราดูหนาขึ้น 
เรารู้สึกว่าใช้แปรงจะให้ความเบาบางที่มากกว่า และดูเหมือนผิวมากกว่า

หน้าเราส่วนใหญ่จะมันตรงทีโซน โดยเฉพาะหน้าผากและจมูก เราใช้คู่นี้ช่วยเรื่องหน้ามันได้เยอะเลย ช่วงอากาศร้อนๆเราก็ซับหน้าน้อยลง ยิ่งถ้าอากาศหนาวๆ หรืออากาศเย็นเราอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่จำเป็นต้องซับหน้าเลยก็มี
จริงๆเหงื่อเราก็ออกปกติน่ะแหละ แต่ด้วยเนื้อผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ดูเป็นเนื้อแมท ไม่เงาจึงทำให้หน้าเราดูไม่เงาวับ ดูไม่มันจนเกินไป 

ทั้งสองตัวนี้เราซื้อที่อเมริกา ท่เมืองไทยราคาอาจจะสูงกว่านี้สักหน่อย
ถ้าใครหน้ามัน แล้วยังไม่เจอรองพื้นและแป้งที่ใช่อยู่ละก็ เราอยากแนะนำให้รองคู่นี้ดู เพราะราคาไม่แพงเวอร์ แถมยังใช้ดีอีกด้วย 
ยังไงก็ไปลองกันนะ